"... ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังร่วงลงไปนั้น ผม (พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร) มีความรู้สึกอย่างเดียวกับนักบิน คือนึกว่าตัวเองกำลังจะตายเพราะเครื่องบินตก ผมได้ยินทุกคนในเครื่องบินต่างสวดมนต์เสียงดังไม่ได้ศัพท์
ตัวผมเองนั้น ทำสิ่งที่ผมเชื่อว่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้ทำก่อนตายคือ เอามือกุมพระเครื่ององค์เดียวที่ห้อยคออยู่แล้วร้องเรียกพระห้าองค์ที่ผมไหว้เป็นประจำคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จฯ (สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ)
พระเครื่ององค์นั้น เป็นพระเครื่องที่ผมได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่หัว ในคืนวันหนึ่งใน พ.ศ. 2510 หลังจากที่รับพระราชทานเลี้ยงอาหารค่ำในวังไกลกังวล คือ “พระสมเด็จจิตรลดา” หรือ "พระกำลังแผ่นดิน” ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเอง
คืนนั้น บนพระตำหนักเปี่ยมสุขในวังไกลกังวล จำได้ว่า พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ขณะที่ทรงวางพระลงบนฝ่ามือที่ผมแบรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา
ภายหลังเมื่อมีโอกาสกราบบังคมทูลถาม จึงได้ทราบว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระเครื่องด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน เช่น ดินจากปูชนียสถานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า (คือเส้นผม) ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นเครื่องยึดแล้ว จึงทรงกดพระแต่ละองค์ลงในพิมพ์ โดยไม่ได้เอาเข้าเตาหรือใช้ความร้อนชนิดใด ๆ
หลังจากที่เรา (นายตำรวจรวมแปดนายและนายทหารเรือหนึ่งนาย) รับพระราชทานพระแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทมีความว่า พระที่พระราชทานนั้น ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น
พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อจะได้เตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว
... หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลห่างพระยุคลบาทเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี ผมได้มีโอกาสกลับไปเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีก ความรู้สึกเมื่อได้เฝ้าฯ นอกจากจะเป็นความปีติยินดีที่ได้ใกล้พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีความน้อยใจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ลำบาก และเผชิญอันตรายนานาชนิด บางครั้งแทบเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ปรากฏว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใด ๆ ทั้งสิ้น
ก่อนเสด็จขึ้นคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง
พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามว่า “จะเอาอะไร?” และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตปิดทองบนหน้าพระที่ได้รับพระราชทานไป พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ
ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย
พระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล (ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า ปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อย ๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง...”
จากหนังสือ “รอยพระยุคลบาท”
บันทึกความทรงจำของ พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชร
พระสมเด็จจิตรลดา หรือพระกำลังแผ่นดิน จัดเป็นหนึ่งในสุดยอดพระมหามงคล เป็นพระเครื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง และพระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และพลเรือน ในระหว่างปี พ.ศ. 2508 - พ.ศ. 2513 มีทั้งสิ้นประมาณ 2,500 องค์
ทุกองค์มีเอกสารส่วนพระองค์ หรือใบกำกับพระ แสดงชื่อ-สกุล วันที่รับพระราชทาน หมายเลขกำกับทุกองค์ โดยทรงมีพระราชดำรัสแก่ผู้รับพระราชทานว่า "ให้ปิดทองที่หลังองค์พระปฏิมาแล้วเอาไว้บูชาตลอดไป ให้ทำความดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"
การปิดทองด้านหลังองค์พระ เป็นปริศนาธรรมที่ทรงมีพระราชดำริในการปลูกฝังนิสัยให้ผู้รับพระราชทานนำไปคิดในทำนองว่า การที่บุคคลใดจะทำกุศลหรือประโยชน์สาธารณะใด ๆ นั้น พึงมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยแท้จริง โดยไม่หวังลาภยศชื่อเสียงใด ๆ
![]() |
พระสมเด็จจิตรลดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน |
พระพุทธรูปพิมพ์ที่แกะถวายนั้น เป็นพระพุทธรูปพิมพ์นั่งปางสมาธิแบบขัดราบ พระบาทขวาทับพระบาทซ้าย ประทับเหนือดอกบัวบาน บน 5 กลีบ ล่าง 4 กลีบ รวมเป็น 9 กลีบ รูปทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว พิมพ์ใหญ่ขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร สูง 3 เซนติเมตร พิมพ์เล็ก ขนาดกว้าง 1.2 เซนติเมตร สูง 1.9 เซนติเมตร
พระพุทธลักษณะขององค์พระสมเด็จจิตรลดา ซึ่งทรงสร้างขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ. 2508 - พ.ศ. 2513 มีความแตกต่างกันออกไป ความลึกและคมชัดขององค์พระในแต่ละปีก็ไม่เท่ากัน เนื้อพระ สีพระ ความหนาบางขององค์พระในแต่ละปีก็แตกต่างกัน
พระสมเด็จจิตรลดาพิมพ์เล็กมีไม่มากนัก ทรงมีการพระราชทานให้เพียง 2 ปีเท่านั้น คือปี พ.ศ. 2508 และปี พ.ศ. 2509 องค์พระดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างสำหรับพิมพ์เล็ก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาว่างหลังจากทรงพระอักษรและทรงงานอันเป็นราชภารกิจในเวลาดึก สร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองโดยใช้ผงมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทั้งส่วนพระองค์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ อันศาสนิกชนทั่วพระราชอาณาจักรได้ปฏิบัติบูชาสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ประกอบด้วย
ก. ส่วนในพระองค์
1. ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่ประชาชนได้ทูลเกล้าฯ ถวายในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต และได้ทรงแขวนไว้ที่องค์พระพุทธปฏิมากรตลอดเทศกาล จนถึงคราวที่จะเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ดอกไม้แห้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมไว้
2. เส้นพระเจ้า (เส้นผม) ซึ่งเจ้าพนักงานได้รวบรวมไว้หลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ทุกครั้ง
3. ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระขรรค์ชัยศรีในพระราชพิธีฉัตรมงคล
4. สีซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์
5. ชันและสีซึ่งทรงขูดจากเรือใบพระที่นั่งขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่ง
ข. ส่วนที่มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทุกจังหวัดทั่วพระราชอาณาจักร
วัตถุเครื่องผสมที่มาจากต่างจังหวัดนี้ กระทรวงมหาดไทยได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นวัตถุที่ได้มาจากปูชนียสถานหรือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชาในแต่ละจังหวัด อันได้แก่ดินหรือตะไคร่น้ำแห้งจากปูชนียสถาน เปลวทองคำปิดพระพุทธรูป ผงธูปหน้าที่บูชา น้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้เคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ผงธูปและดินจากกระถางธูปที่บูชาในศาลหลักเมืองทุกกระถาง ผงจากพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร เปลวทองจากพระมงคลบพิตร ผงจากพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย วัดสวนหลวงสบสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฯลฯ
มวลสารต่าง ๆ เหล่านี้ ต่อมาภายหลัง ได้พระราชทานให้แก่วัดบวรนิเวศวิหาร และทางวัดฯ ได้นำไปจัดสร้างพระเครื่องบางรุ่น เป็นที่รู้จักกันในนามพระเครื่องผสมมวลสารจิตรลดา
ก. ส่วนในพระองค์
1. ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่ประชาชนได้ทูลเกล้าฯ ถวายในการเสด็จพระราชดำเนินเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกต และได้ทรงแขวนไว้ที่องค์พระพุทธปฏิมากรตลอดเทศกาล จนถึงคราวที่จะเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ดอกไม้แห้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมไว้
2. เส้นพระเจ้า (เส้นผม) ซึ่งเจ้าพนักงานได้รวบรวมไว้หลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ทุกครั้ง
3. ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระขรรค์ชัยศรีในพระราชพิธีฉัตรมงคล
4. สีซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนภาพฝีพระหัตถ์
5. ชันและสีซึ่งทรงขูดจากเรือใบพระที่นั่งขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่ง
ข. ส่วนที่มาจากจังหวัดต่าง ๆ ทุกจังหวัดทั่วพระราชอาณาจักร
วัตถุเครื่องผสมที่มาจากต่างจังหวัดนี้ กระทรวงมหาดไทยได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เป็นวัตถุที่ได้มาจากปูชนียสถานหรือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชาในแต่ละจังหวัด อันได้แก่ดินหรือตะไคร่น้ำแห้งจากปูชนียสถาน เปลวทองคำปิดพระพุทธรูป ผงธูปหน้าที่บูชา น้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้เคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ผงธูปและดินจากกระถางธูปที่บูชาในศาลหลักเมืองทุกกระถาง ผงจากพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร เปลวทองจากพระมงคลบพิตร ผงจากพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย วัดสวนหลวงสบสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฯลฯ
มวลสารต่าง ๆ เหล่านี้ ต่อมาภายหลัง ได้พระราชทานให้แก่วัดบวรนิเวศวิหาร และทางวัดฯ ได้นำไปจัดสร้างพระเครื่องบางรุ่น เป็นที่รู้จักกันในนามพระเครื่องผสมมวลสารจิตรลดา
![]() |
สมเด็จนางพญา ญสส ผสมมวลสารจิตรลดา วัดบวรนิเวศวิหาร ฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก |
ปี พ.ศ. 2539 ในวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี ได้มีการจัดสร้าง "พระกำลังแผ่นดิน" ขึ้นโดยพระราชพิพัฒน์โกศล เจ้าอาวาสวัดศรีสุดารามวรวิหาร ประธานการก่อสร้างโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ เพื่อมอบแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์สมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
พระกำลังแผ่นดินที่จัดสร้างขึ้นในครั้งนั้น ประกอบด้วยเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อผง องค์พระมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับพระสมเด็จจิตรลดา และที่ด้านหลัง ได้อัญเชิญตราสัญลักษณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปีมาประดิษฐานไว้
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2539 เวลา 15:19 น. โดยพระภาวนาจารย์ 109 รูป
ขอขอบคุณ ชมรมพระเครื่องท่าพระจันทร์ ที่เอื้อเฟื้อภาพเป็นวิทยาทาน