#เหรียญหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อไร่ขิง
(เหรียญสามพี่น้อง)
ที่ระลึกฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
ในหลวงรัชกาลที่ 9 พ.ศ.2539
พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระมหาวิหารพุทธมณฑล จ.นครปฐม
เนื้อเงิน99.99% ขัดเงา(ตอกโค๊ตAg)
พร้อมกล่องบรรจุเดิมและใบรับรองเดิมครบ
(1ใน2000เหรียญ)
เหรียญสามพี่น้อง หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อไร่ขิง
ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ปี2539 เนื้อเงินแท้ 99.99% ขัดเงา
ขนาด 2.5 ซ.ม. จัดสร้างเพียง 2,000 เหรียญ
มีโค๊ด Ag กำกับ สวยๆเดิมๆพร้อมกล่องบรรจุเดิมและใบรับรองเดิมครบ
พิธีมหาพุทธาภิเษก ณ พระมหาวิหารพุทธมณฑล จ.นครปฐม 25 ธันวาคม 2539
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ประวัติพระสามพี่น้อง
ครั้งโบราณว่า ในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 3 องค์ด้วยกันผ่านเมืองปราจีนบุรีมา แล้วไปผุดที่ตำบลสัมปทวน แขวงเมืองฉะเชิงเทรา ชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาทั้ง 3องค์ จึงช่วยกันอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง รวมแรงกันชักลากขึ้นจากน้ำแต่ก็ไม่สำเร็จ กระทั่ง เกิดปาฏิหาริย์ กระแสน้ำปั่นป่วนขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักทำให้พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์จมหายลับไปท่ามกลางความเสียดายของชาวบ้าน
ต่อมาพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ลอยน้ำไปเรื่อยๆ องค์หนึ่งลอยไปทางบางพลีไปผุดขึ้นที่ลำคลองวัดบางพลี จ.สมุทรปราการ ชาวบ้านอัญเชิญประดิษฐานเอาไว้ที่วัดบางพลี
อีกองค์หนึ่งลอยไปที่บริเวณบ้านแหลม จ.สมุทรสงคราม ชาวบ้านอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดบ้านแหลมหรือวัดเพชรสมุทรวรวิหาร
อีกองค์หนึ่งผุดขึ้นที่หน้าวัดเสาธงทอนหรือ "วัดโสธร" ริมแม่น้ำบางปะกงมีชาวบ้านช่วยกันฉุดลากขึ้นมาด้วยเชือก แต่ไม่สำเร็จ มีผู้เสนอให้ไปเชิญอาจารย์ผู้ที่มีความรู้ด้านเวทมนต์คาถามาทำพิธีบรวงสรวงอัญเชิญ พระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาให้สำเร็จ
อาจารย์ผู้ทรงวิทยาคม ได้ประกอบพิธีตั้งศาลเพียงตาตามแบบโบราณพิธีแล้วเอาสายสิญจน์ไปคล้องที่พระหัตถ์ ปรากฏว่าสามารถอัญเชิญขึ้นบนฝั่งริมตลิ่งวัดเสาธงทอนได้อย่างง่ายดาย ชาวบ้านได้อัญเชิญเข้าไปประดิษฐานในพระอุโบสถทันที
ทีนี้ปัญหาว่าพระ 3 องค์เป็นพี่น้องกันได้อย่างไรเชิญติดตามอ่านต่อครับท่าน
พระสามพี่น้องที่สร้างปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาขึ้นในจังหวัดต่างๆ ซึ่งก็คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม (วัดเพชรสมุทรวรวิหาร) จังหวัดสมุทรสงคราม, หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา และหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน จังหวัดสมุทรปราการ
พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้มีประวัติความเป็นมามากมาย แต่ตำนานการกำเนิดของพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้รายละเอียดส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆ กัน มีแต่รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นที่อาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ซึ่งเป็นธรรมดาของการบอกเล่าปากต่อปากที่เล่าสืบต่อกันมาที่อาจจะมีการผิดเพี้ยนไปบ้างในเรื่องปลีกย่อย โดยจะผมจะขอยกเรื่องที่มาของพระสามพี่น้องชุดนี้มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง
ตามตำนานหนึ่งกล่าวไว้ว่าพระสามพี่น้อง (เป็นพระสงฆ์ 2 รูปและเป็นเณร 1 รูป) นี้เดิมเป็นพระสงฆ์พี่น้องกัน เกิดทางภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งทั้งสามนั้นมีฤทธิ์มีเดชเวทย์มนต์แรงกล้ามาก วันหนึ่งทั้งสามพี่น้องเกิดอยากลองวิชาที่ตนนั้นเรียนรู้มากัน ซึ่งก็คือวิชาการแปลงร่างเปลี่ยนรูป โดยเริ่มจากพี่ชายคนโตซึ่งเกิดในวันพุธก่อนเป็นรูปแรกที่ลองวิชา โดยการกระโดดลงไปในน้ำแล้วเปลี่ยนร่างของตนเองให้กลายเป็นพระพุทธรูป
แต่ก่อนที่จะโดดลงไปได้สั่งน้องทั้งสองว่า เมื่อตนนั้นกระโดดลงไปในน้ำกลายเป็นพระพุทธรูปแล้วนั้นจะไม่สามารถแปลงร่างกลับมาเป็นอย่างเดิมได้ เพราะจะกลายเป็นพระพุทธรูปที่เคลื่อนไหวขยับตัวไม่ได้ไป ดังนั้นเมื่อลองวิชาจนรู้ผลแล้วก็ขอให้น้องที่เหลือทั้งสองช่วยทำให้ร่างกลับมาเป็นคนดังเดิม ด้วยการที่เอาน้ำมนต์ที่ตนทำไว้เท รดไปที่พระพุทธรูปที่ตนนั้นแปลงกาย ก็จะกลับมาเป็นพระสงฆ์เหมือนเดิม
พอพระสงฆ์ผู้เป็นพี่คนโตบริกรรมคาถาแล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำ ร่างกายก็เปลี่ยนไปเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรลอยอยู่ในแม่น้ำ ตามที่ตนอธิษฐานแปลงร่างไว้ให้เป็นไป
พอน้องสองคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็ดีใจว่าวิชาที่ร่ำเรียนมานั้นใช้ได้ และเกิดความคิดว่าเมื่อพระพี่ชายทำได้ตนก็ทำได้เช่นกัน พระพี่ชายคนที่สองก็อยากที่จะลองวิชานี้บ้าง จึงสั่งน้องชายคนเล็กให้ช่วยแก้คาถาให้ตนนั้นกลับร่างมาเป็นคนดังเดิมเหมือนที่พี่ชายคนโตสั่งไว้ก่อนหน้านี้พอสั่งเสร็จก็อธิษฐานบริกรรมคาถาแล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำ กลายเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิตามวันเกิดของตนไปตามที่ได้อธิษฐานไว้เณรรูปน้องเห็นดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมากว่าวิชาที่ร่ำเรียนมาใช้ได้จริง นี่ลองกันมาถึงสองครั้งแล้วก็ยังสามารถใช้ได้ ด้วยความที่ดีใจเกินไปและด้วยความร้อนวิชาอยากที่จะลองวิชาที่ร่ำเรียนมา จึงตั้งจิตอธิษฐานบริกรรมคาถาแล้วกระโดดลงไปในแม่น้ำเพื่อลองวิชาบ้าง จนกลายเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
โดยลืมไปว่าพี่ชายทั้งสองได้สั่งไว้ก่อนจะกระโดดลงไปแปลงร่างเป็นพระพุทธรูปว่า ให้ตนซึ่งเป็นน้องคนเล็กนั้นช่วยเอาน้ำมนต์มารดเพื่อคลายมนต์ให้กลับมาเป็นคนดังเดิมคราวนี้พอพระสงฆ์น้องเล็กโดดแปลงร่างตามลงไป ด้วยความที่อยากลองวิชาบ้าง ผลก็ทำให้ไม่เหลือใครที่จะมารดน้ำมนต์ หรือรู้วิธีคลายมนต์ให้กลับร่างมาเป็นคนเหลืออยู่อีกเลย พระทั้งสามรูปเลยกลายเป็นพระพุทธรูปถาวรไปนับแต่นั้นมา
เมื่อพระพุทธรูปทั้งสามอยู่ในแม่น้ำทางภาคเหนือ ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ล่องลอยมาตามแม่น้ำ จากภาคเหนือลอยเลื่อยลงมาถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเรื่องการลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยานั้นก็มีตำนานเล่าขานกันมากมายถึงจุดที่พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้แสดงปาฏิหาริย์โผล่มาให้พบเห็น จนเกิดเป็นชื่อสถานที่ต่างๆ ต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ที่แรกที่พระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้โผล่มาก็คือที่ สามเสน โดยมีเรื่องเล่ากันว่าครั้นหนึ่งพระพุทธรูปสามพี่น้องนี้ได้ลอยมาแล้วโผล่เศียรขึ้นเหนือน้ำในบริเวณนี้ ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงช่วยกันนำเชือก 3 เส้นมาคล้องพระพุทธรูปทั้งสามขึ้นจากน้ำ แต่ปรากฏว่าเชือกทั้ง 3 เส้นที่ผูกไว้นั้นเกิดขาดและจมน้ำหายไปอีกครั้ง
จึงเรียกสถานที่ตรงนั้นว่า “สามเส้น” เนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระพุทธรูปทั้งสามโผล่ขึ้นมา แล้วชาวบ้านช่วยกันเอาเชือก 3 เส้นมาคล้องชักเป็นครั้งแรก บ้างก็ว่าสถานที่ตรงนั้นเรียกว่า “สามเศียร” เพราะพระพุทธรูปทั้งสามโผล่มาให้เห็นเฉพาะเศียรเท่านั้น ซึ่งต่อมาก็ได้เพี้ยนไปเป็น “สามเสน” ในเวลาต่อมานั่นเองอีกที่ที่พระพุทธรูปทั้งสามลอยขึ้นล่องมาขึ้นที่คุ้งน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็เรียกสถานที่ตรงนี้ว่า “คุ้งสามพระทวน” โดยพระพุทธรูปทั้งสามองค์นี้มาลอยวน ณ จุดนี้อยู่สักพักแล้วก็จมหายลงไปในแม่น้ำอีกครั้งหนึ่ง จากคำว่า “คุ้งสามพระทวน” ต่อมาในปัจจุบันก็เรียกเพี้ยนไปเป็น “สัมปทวน” บ้างก็ว่าเป็น ตำบลสัมปทวนในจังหวัดฉะเชิงเทรา บ้างก็ว่าเป็น ตำบลสัมปทวน อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ก็แล้วแต่ตำนานของชาวบ้านละแวกไหนเท่านั้น
ตรงนี้ก็เพราะต่างฝ่ายต่างยึดเอาการขึ้นของพระพุทธรูป 2 องค์แรกเป็นหลัก คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลมที่ล่องผ่านแม่น้ำท่าเจ้าพระยาสู่แม่น้ำท่าจีน แล้วไปขึ้นที่วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรสงคราม กับ หลวงพ่อโสธร ที่ล่องผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาสู่แม่น้ำบางปะกง นั่นเอง
คราวนี้เรามาดูจุดขึ้นจากแม่น้ำของพระพี่น้องทั้งสามองค์นี้กันว่าแต่ละองค์ หลังจากเลือกที่ขึ้นฝั่งเป็นที่ถูกใจแล้ว แต่ละองค์ได้เลือกสถานที่แห่งใดบ้างซึ่งเป็นที่ประดิษฐานมาจวบเท่าทุกวันนี้ โดยจะเริ่มจากพระองค์โตพี่ใหญ่ก่อน แล้วไล่มาจนถึงองค์น้องเล็กสุดหลวงพ่อวัดบ้านแหลม (วัดเพชรสมุทรวรวิหาร) หรือ วัดศรีจำปาในอดีต โดยตำนานเล่าว่าชาวบ้านแหลม ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อพยพมาตั้งรกรากบ้านเรือนอยู่แถวบริเวณ ตำบลแม่กลอง และเรียกหมู่บ้านของตนตรงนั้นว่าบ้านแหลม ได้ออกไปตีอวนจับปลาในปากอ่าว ในขณะที่ลากอวนจับปลาอยู่นั้นก็ได้ลากติดพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรขึ้นมาหนึ่งองค์ ชาวประมงต่างดีใจอาราธนาท่านขึ้นประดิษฐานบนเรือ แล้วรีบตีกลับในทันที
ในขณะที่กำลังกลับลำเรือจะมุ่งหน้ากลับตำบลแม่กลอง ผ่านหน้าวัดศรีจำปาก็ได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้นคล้ายๆ กับว่าหลวงพ่อท่านประสงค์ที่จะขึ้นประดิษฐานที่วัดนี้ จึงบันดาลให้เกิดพายุฝนกระหน่ำอย่างรุนแรง ทำให้เรือที่บรรทุกหลวงพ่อมานั้นทนคลื่นลมไม่ไหว ก็เอียงโคลงไปโคลงมา จนหลวงพ่อท่านเคลื่อนตกจากเรือจมหายไปอีกครั้งตรงจุดนี้
ชาวประมงบ้านแหลมต่างพากันตกใจเสียดาย ต่างช่วยกันดำน้ำหาอยู่หลายวันก็ไม่พบจนต้องหยุดค้นหากันไป ต่อมาชาวบ้านศรีจำปาทราบข่าวก็ช่วยกันดำน้ำค้นหากันอีกครั้ง ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อที่ได้เลือกที่ขึ้นประดิษฐานและจะอยู่เป็นมิ่งขวัญของชาวบ้านแถวนี้ ท่านก็ได้ปรากฏองค์ให้เห็นอีกครั้งตรงจุดเดิมที่ท่านจมลงไป
ชาวบ้านศรีจำปาจึงช่วยกันอาราธนาท่านขึ้นแล้วนำไปประดิษฐานไว้ที่วัดศรีจำปา ชาวประมงบ้านแหลมทราบข่าวว่าชาวศรีจำปาได้พระของตนที่จมน้ำขึ้นมาแล้ว ก็ยกขบวนมาของพระคืน แต่ชาวบ้านศรีจำปาไม่ยอมคืนให้ ด้วยเหตุผลที่ว่าหลวงพ่อท่านต้องการจะประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้เลยทำให้เกิดปาฏิหาริย์เป็นพายุพัดจนท่านจมลงที่ก้นแม่น้ำอีกครั้ง แล้วทำให้ชาวบ้านแหลมงมหาตรงจุดนั้นเท่าไรก็ไม่เจอ แต่ชาวศรีจำปามางมเพื่อจะอาราธนาท่านมาประดิษฐานที่วัดของตนกลับเจออย่างง่ายดาย
ชาวบ้านแหลมได้ฟังเหตุผลเช่นนั้นก็ยินยอมเพราะเป็นประสงค์ของหลวงพ่อ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่เป็นชื่อว่า “วัดบ้านแหลม” เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้จดจำว่าชาวบ้านแหลมเป็นกลุ่มแรกที่ได้พบพระพุทธรูปองค์นี้ จากนั้นวัดศรีจำปาจึงเปลี่ยนมาเป็นวัดบ้านแหลมนับแต่นั้นมา
หลวงพ่อโสธร (วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา) หลวงพ่อโสธรนี้ถือว่าเป็นพระสามพี่น้ององค์กลาง ที่ลอยตามกระแสน้ำมาออกที่แม่น้ำบางปะกง โดยลอยมาโผล่ที่คลองคุ้งให้ชาวบ้านแถวนั้นได้พบเห็น แล้วช่วยกันชุดขึ้นฝั่งแต่ก็ไม่สำเร็จ สถานที่ตรงนั้นก็เลยถูกเรียกว่า “บางพระ” มาจนทุกวันนี้
จากนั้นหลวงพ่อโสธรก็ได้มาแสดงปาฏิหาริย์ในคลองเล็กๆ ตรงข้ามกองพันทหารช่างฉะเชิงเทราอีกครั้ง ด้วยการลอยวนทวนน้ำเป็นเวลานาน ชาวบ้านเลยเรียกบริเวณนี้ว่า “แหลมลอยวน” นับแต่นั้นมา แล้วจากนั้นก็ได้ลอยวนไปวนมาผุดขึ้นตรงบริเวณหน้าวัดหงส์ ซึ่งเล่ากันว่าตรงจุดที่หลวงพ่อลอยวนอยู่หน้าวัดหงษ์นั้นเดิมมีเสาใหญ่ยอดหงษ์ วัดนี้จึงถูกเรียกว่าวัดหงส์ ต่อมาหงษ์บนยอดเสาได้ชำรุดหักลงทางวัดจึงได้นำธง 8 ริ้วไปติดไว้บนยอดเสาแทน จนชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า แปดริ้ว (อันนี้คนละเรื่องกับที่ว่าพื้นที่แถบนี้มีความอุดมสมบูรณ์มีปลาช่อนใหญ่มากจนตัวหนึ่งๆ เฉือนเป็นริ้วได้ถึง 8 ริ้ว) พอหลวงพ่อโสธรมาลอยวนหยุดอยู่บริเวณนี้ก็ทำให้ชาวบ้านตื่นตกใจ พากันมามุงดูปาฏิหาริย์กันอย่างมากมาย แล้วคิดช่วยกันฉุดชักขึ้นฝั่งแต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องมีผู้รู้มาแนะนำให้ตั้งศาลเพียงตาบวงสรวง
กล่าวคำอัญเชิญชุมนุมเทวดามาอาราธนาท่านขึ้นจากแม่น้ำ โดยใช้เพียงสายสิญจน์คล้องที่พระหัตถ์เท่านั้นก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ ชาวบ้านต่างดีใจพร้อมใจกันอัญเชิญหลวงพ่อท่านไปประดิษฐานที่วัดโสธรวรารามวรวิหารนับแต่นั้นมา
คำอาราธนาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม
“สะทา วะชิระสะพุททะวะวะ วิหารเร ปติฏฐิตัง นะระเทโวหิ ปูชิตัง ปัตตะหัตตัง พุทธะรูปัง อะหัง วันทามิ ทูระโต”
คาถาหลวงพ่อวัดบ้านแหลมใช้ปัดเป่าโรคภัยต่างๆ โดยท่อง 9 จบดังนี้
“นะมะ ระอะ นะ เทวะ อะ”
คำอาราธนาหลวงพ่อโสธร
“กายานะ วาจายะวะ วาโสธะรัง มามะ อิติปาริหะ ริยะกาง พุทธธะรูปัง อะหังปิ วัณทามิ สัพพะโส”
คาถาบูชาหลวงพ่อโสธร (ท่องนะโม 3 จบก่อน)
“นะทรงฟ้า โมทรงดิน พุทธทรงสินธุ์ ธาทรงสมุทร ยะทรงอากาศ พุทธังแคล้วคลาด ธัมมังแคล้วคลาด สังฆังแคล้วคลาด ศัตรูภัยพาล วินาสสันติ นะกาโร กุกกุสันโธ สิโรมัชเฌ โมกาโร โกนาคะมะโน นานาจิตเต พุทธะกาโร กัสสะโป พุทโธ จะ ทะเวเนเต ธากาโร ศรีศากกะยะมุณีโคตะโม ยะกันเน ยะกาโร อะริยะเมตตรัยโย ชิวหาทีเต ปัญจะพุทธา นะมามิหัง”
หน้าที่เข้าชม | 3,840,435 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,450,850 ครั้ง |
เปิดร้าน | 25 เม.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 7 ก.ย. 2568 |